สาระสำคัญของรายงาน |
สรุปรายงานความเป็นไปได้ของโครงการขุดคอคอดกระ
โครงการขุดคอคอดกระหรือ “คลองไทย” นับเป็นโครงการขนาดใหญ่ที่จะเป็นประโยชน์ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ และสังคม การเมือง ความมั่นคง และเทคโนโลยี ซึ่งจะเป็นกุญแจสำคัญทำให้ประเทศ ไทยก้าวขึ้นมามีบทบาทเศรษฐกิจที่สำคัญในระดับโลก เป็นเส้นทางเดินเรือสากลใหม่ของโลก ซึ่งจะช่วยพัฒนาประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของภาคใต้โดยตรง จะทำให้ประชาชนในภาคใต้และจากการหลั่งไหลมาจากภาคอื่น ๆ จะมีการจ้างงานเพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่า ๓ ล้านแรงงาน ทำให้ลดปัญหาคนตกงานและแก้ไขปัญหาความยากจน เมื่อฐานะทางเศรษฐกิจและสังคมดีขึ้น ก็จะส่งผลให้ความมั่นคงของประเทศเพิ่มสูงมากขึ้นตามไปด้วย ดังนั้น การขุดคลองไทยน่าจะเป็นการลดปัญหาอย่างยั่งยืนและยังประโยชน์แก่ประเทศในทุก ๆ ด้านที่เห็นได้ชัดได้แก่ การคมนาคม การค้า การเกษตร การอุตสาหกรรม การท่าเรือ การท่องเที่ยว ฯลฯ อันเป็นการพัฒนาบ้านเมืองอย่างเบ็ดเสร็จในระยะยาวและตลอดไป
จากการศึกษาขั้นต้น (Pre-Feasibility Study) ด้านวิศวกรรมและธรณีวิทยา ด้านความมั่นคงแห่งชาติ ด้านเศรษฐกิจ ด้านความร่วมมือระหว่างประเทศและเงินทุน ด้านประชาพิจารณ์ และด้านกฎหมาย รวมถึงการศึกษาดูงานภายในประเทศและต่างประเทศแล้ว สรุปว่าเห็นควรให้มีการขุดคลองไทยเพราะมีความเหมาะสม ความคุ้มค่า และความเป็นไปได้ แต่จะต้องมีการศึกษาขั้นสมบูรณ์ (Full Feasibility Study) อย่างละเอียดถี่ถ้วนเพื่อให้ลดผลกระทบในด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านสิ่งแวดล้อมและด้านความมั่นคงของประเทศ
แต่อย่างไรก็ตามควรจะได้มีการศึกษาความเป็นไปได้ในเชิงลึกอีกครั้งหนึ่งเพื่อเตรียมการและป้องกันผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นในด้านวิศวกรรม สังคม และสิ่งแวดล้อมอีกด้วย โดยตรวจสอบผลกระทบทุก ๆ ด้าน อย่างรอบคอบ วางแผนยุทธศาสตร์ชาติที่ชัดเจน ไม่ให้ประเทศชาติเสียเปรียบผู้ได้รับสัมปทาน ประชาชนคนไทยในพื้นที่คลองผ่านจะต้องได้รับผลกระทบน้อยที่สุด และจะต้องเป็นผู้มีส่วนร่วมตัดสินใจในโครงการและต้องได้รับประโยชน์ และสามารถดำรงชีพอยู่ด้วยความมั่นคง และมีเกียรติศักดิ์ศรี และมีวิชาชีพที่ถาวรยั่งยืนจากการพัฒนาและดำเนินงานของคลองไทยตลอดไป รวมทั้งให้คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมและความมั่นคงของประเทศเป็นหลัก เพราะการพัฒนาคลองไทยจะเป็นการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ (Special Economic Zone) และโครงการต่อเนื่องในโครงการอุตสาหกรรมการเดินเรือ การขนส่งทางทะเลที่ไทยจะต้องเป็นศูนย์กลางคลังสินค้าโลยีสติคส์ ในภูมิภาคเป็นโครงการขนาดยักษ์จริง ๆ ดังนั้นจะต้องไม่ทำสัญญาใด ๆ ที่ก่อให้เกิดค่าโง่ หรือความเสียเปรียบแก่ลูกหลานไทยในอนาคต อย่างไรก็ตาม ต้องให้ความเป็นธรรมแก่ผู้ลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศทุกฝ่ายโดยไม่ลำเอียงให้นายทุนฝ่ายใดค่ายใดได้เปรียบอีกฝ่ายหนึ่ง อันจะเป็นชนวนก่อความไม่สงบ และสร้างปัญหาในการบริหารจัดการ และการใช้คลองในอนาคต ซึ่งจะต้องเป็นเส้นทางเดินเรือสากลของนานาประเทศใช้ประโยชน์ร่วมกัน โดยอยู่ภายใต้อำนาจการบริหารและอธิปไตยของประเทศไทย โดยคำนึงถึง
๑. การศึกษาอย่างถ่องแท้ถึงผลได้ผลเสียในการขุดคลอง
๒. ให้คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมและความมั่นคงของชาติเป็นหลัก
๓. ให้คำนึงถึงความเดือดร้อนของประชาชนเป็นข้อพิจารณาที่สำคัญว่าประชาชนจะได้ประโยชน์อะไร
๔. หากนำต่างประเทศมาลงทุนก็อย่าให้ต่างประเทศมาเอาเปรียบ
๕. ดิน แร่ธาตุที่ขุดจะต้องเป็นของรัฐและประชาชนเป็นส่วนรวม
ข้อเสนอแนะ
๑. สมควรขุดคลองไทยทางภาคใต้ของประเทศไทย ขุดคลองเชื่อมระหว่างทะเลอันดามัน มหาสมุทรอินเดียและอ่าวไทยในมหาสมุทรแปซิฟิก ในเส้นทาง ๙A ที่เหมาะสมที่สุดในปัจจุบันคือ ผ่านจังหวัด กระบี่-ตรัง-พัทลุง-นครศรีธรรมราช-สงขลา ความยาวประมาณ ๑๒๐ กิโลเมตร และให้เรียกเส้นทางการขุดคลองนี้ว่า “คลองไทย” แทนคำว่า “คลองคอคอดกระ” เดิม
๒. ลักษณะคลองแบบสองคลองคู่ขนาน เป็นคลองบนและคลองล่างเพื่อการสัญจรทางเดียว ความกว้างประมาณคลองละ ๓๕๐ เมตร ณ จุดกลับเรือกว้าง ๕๐๐ เมตร ซึ่งจะมีไม่เกิน ๒ แห่ง หรือตามที่จำเป็นเพื่อความปลอดภัยในการเดินเรือ การกู้ภัย การคุ้มครองคลอง และการรักษาความสงบเรียบร้อยในการจัดการ ส่วนความลึกของคลอง คือ ๓๐ เมตร ความยาวเฉลี่ย ๑๒๐ กิโลเมตร โดยประมาณ (คลองบน ๑๒๕ กิโลเมตร คลองล่างประมาณ ๑๒๐ กิโลเมตร) คลองคู่ขนาน เพื่อป้องกันอุบัติเหตุในการเดินเรือ และความรวดเร็วในการเดินเรือ เพื่อไม่ต้องรอหลีก สามารถรองรับเรือได้คลองละ ๒๐๐ – ๓๐๐ ลำต่อคลอง ต่อวัน และเพื่อให้เรือ VLCC และ ULCC ขนาด ๒๐๐,๐๐๐ – ๓๐๐,๐๐๐ DWT สามารถแล่นผ่านได้อย่างสะดวก และเป็นการจูงใจให้เรือใช้คลองไทยมากขึ้น เพราะประหยัดเวลาและเชื้อเพลิงได้มาก แทนการแล่นเรือผ่านเส้นทางช่องแคบมะละกา ซึ่งประหยัดได้ ๓ วัน และคิดเป็นระยะทางที่ประหยัดได้ไม่น้อยกว่า ๒,๔๐๐ กิโลเมตร ช่องแคบซุนดาและช่องแคบลอมบ๊อค ๕ – ๗ วัน ทำให้ลดภาวะเรือนกระจกจากการเผาเชื้อเพลิง (น้ำมัน) ลงได้จำนวนมหาศาล (ประมาณปีละ ๒๕ พันล้านดอลล่าร์)
๓. ระดับน้ำของสองฝั่งทะเลต่างกันประมาณ ๒๕ เซนติเมตร จึงเป็นคลองในระดับน้ำทะเล ไม่ต้องสร้างประตูน้ำเพื่อยกระดับให้เรือผ่าน
๔. การขุดคลองสามารถใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ เพื่อความรวดเร็วในการขุด แต่ไม่สมควรขุดโดยใช้ปรมาณู
๕. ควรกำหนดกรอบข้อกำหนด TOR (Terms of Reference) ในการพัฒนาโครงการสำหรับผู้ลงทุนที่เป็นธรรมกับผู้รับสัมปทานและประเทศไทยในฐานะเจ้าของคลองไทย
๖. กำหนดแนวให้มีเขตเศรษฐกิจพิเศษ ๓ บริเวณ คือ
- บริเวณอำเภอสิเกา และอำเภอวังวิเศษ จังหวัดตรัง และอำเภอคลองท่อม จังหวัดกระบี่ ใช้พื้นที่ประมาณ ๔๐๐ ตารางกิโลเมตร (๒๐ x ๒๐ กิโลเมตร)
- บริเวณอำเภอทุ่งสง อำเภอรัษฎา และอำเภอห้วยยอด ใช้พื้นที่ประมาณ ๔๐๐ ตารางกิโลเมตร (๒๐ x ๒๐ กิโลเมตร)
- บริเวณอำเภอหัวไทร อำเภอชะอวด อำเภอระโนด ใช้พื้นที่ประมาณ ๖๐๐ ตารางกิโลเมตร (๒๐ x ๓๐ กิโลเมตร)
รวมพื้นที่พัฒนาเป็นเขตอุตสาหกรรมและเขตเศรษฐกิจพิเศษ (Special Economic Zone) ๓ เขต ประมาณ ๑,๔๐๐ ตารางกิโลเมตร
๗. การออกกฎหมายใหม่เกี่ยวกับกฎหมายทะเล การเดินเรือทะเลและกฎหมายใด ๆ ที่เกี่ยวกับการเดินเรือสากลต้องเร่งดำเนินการส่งเสริมให้การเดินเรือไทยเจริญขึ้นทันอารยประเทศ และเสริมสร้างให้มีคลองเรือที่มั่นคง
๘. การจัดทำประชาสัมพันธ์อย่างต่อเนื่องให้ประชาชนทราบ และให้ความร่วมมือสนับสนุนในการขุดคลองไทย และให้ประชาชนในพื้นที่เป็นผู้มีส่วนร่วมกำหนดพื้นที่แนวคลองของตนเอง และปรับสภาพแวดล้อมสังคมของตนเองตลอดจนสิทธิในการได้รับค่าเวนคืนที่เป็นธรรม และมีอาชีพที่มั่นคงจากการมีคลองไทย
๙. ค่าใช้จ่ายในการขุดคลองไทยพิจารณาจากเงินออมภายในประเทศ ร่วมกับเงินจากผู้รับสัมปทานจากต่างประเทศร่วมกัน หรือมีบริษัทที่ขอรับสัมปทานโดยตรง เพื่อให้คนไทยมีส่วนร่วมเป็นเจ้าของในอัตราที่เหมาะสมที่สุด และมีความเป็นธรรมกับทั้ง ๒ ฝ่าย คือ รัฐบาลไทยที่เป็นเจ้าของคลอง และฝ่ายผู้ได้สัมปทานที่เป็นผู้ลงทุนโครงการอาจเชิญชวนให้ประชาชนร่วมลงทุนในรูปแบบซื้อพันธบัตร ในระยะเวลา ๑๐ – ๒๐ ปี หรือรัฐบาลให้สัมปทานแก่ภาคเอกชนทั้งภายในประเทศและต่างประเทศมีส่วนร่วมในการส่วนร่วมในการลงทุน และขายหุ้นมหาชนในตลาดหุ้น เป็นต้น ซึ่งรัฐบาลจะต้องพิจารณา
๑๐. กำหนดโครงการขุดคลองไทยเป็นแผนยุทธศาสตร์ชาติ โดยกำหนดเป็นนโยบายที่สำคัญของรัฐ ที่ส่วนราชการทุกฝ่ายและประชาชนทุกหมู่เหล่าต้องร่วมมือกัน
๑๑. ระบบสัมปทานที่เหมาะควรเป็นระบบ BOOT (Build Operate Own Transfer) คือ ให้ผู้รับสัมปทานก่อสร้างเป็นเจ้าของในระยะหนึ่งตามสัญญา ดำเนินการเรื่องคลอง เมื่อครบสัญญาแล้วจะต้องโอนคืนเป็นสมบัติของประเทศไทยต่อไป สัมปทานควรอยู่ระหว่าง ๓๐ – ๕๐ ปี หรือตามความเหมาะสม
๑๒. การเตรียมความพร้อมบุคลากรบริหารจัดการเรื่องคลอง การเดินเรือ ซ่อมเรือ ต่อเรือ การท่าเรือ การจัดการในทะเล การควบคุมคลอง ฯลฯ จะต้องเตรียมฝึกคนไทยไว้ล่วงหน้า ๑๐ ปี เป็นอย่างน้อย ก่อนเปิดการเดินเรือในคลอง ฉะนั้นจะต้องจัดตั้ง “มหาวิทยาลัยคลองไทย” ขึ้นก่อนเพื่อรับนักศึกษาคณะวิทยาศาสตร์ วิศวกรรม ช่างฝีมือ ฯลฯ ในระดับต่ำกว่าปริญญาตรี ปริญญาตรี และสูงกว่าปริญญาตรี ทั้งนี้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป โดยฝากเรียนไว้กับสถาบันการศึกษาในพื้นที่ที่คลองผ่าน ได้แก่ สถาบันเทคโนโลยีราชมงคล สถาบันราชภัฎ วิทยาลัยการต่อเรือปากพนัง วิทยาลัยการอาชีพต่าง ๆ โดยผู้ให้ทุนการศึกษาโครงการจะต้องจ่ายงบประมาณเพื่อการนี้แก่สถาบันต่าง ๆ ไปก่อนจนกว่าจะสามารถตั้งเป็นมหาวิทยาลัยคลองไทยในอนาคตต่อไป โดยรายได้จากโครงการคลองไทย ให้ถือว่าการศึกษาเป็นหัวใจสำคัญของโครงการคลองไทย
๑๓. แหล่งศึกษาสาขาวิชาการทางการเดินเรือ บริหารจัดการเรือ ท่าเรือ วิศวกรรมการเดินเรือ ฯลฯ ควรศึกษาจากสถาบัน MPA (Maritime and Port Authority) ของสิงคโปร์ เป็นต้นแบบ และมาปรับใช้กับมหาวิทยาลัยคลองไทยต่อไป
๑๔. การสร้างเมืองใหม่และเขตอุตสาหกรรมต่อเนื่องจาก ๓ เขต ในข้อ ๖ จะต้องคำนึงถึงอุตสาหกรรมที่สะอาด ทันสมัยเท่านั้น เป็นอุตสาหกรรม High Technology เพื่อเตรียมสินค้าส่งออกลงเรือไปต่างประเทศ รวมทั้งอุตสาหกรรมบริการอื่น ๆ เช่น ซ่อมเรือ โรงแรม ท่องเที่ยว การบิน การขนส่งทางบก ฯลฯ
๑๕. ควรมีเขตปลอดภาษีในเขตเมืองใหม่และเขตเศรษฐกิจพิเศษทั้ง ๓ เขต มูลค่าเมืองใหม่แห่งละประมาณ ๑๐,๐๐๐ ล้านเหรียญสหรัฐและควรได้รับการออกแบบที่ทันสมัย
๑๖. รายได้จากการเดินเรือและเขตเมืองใหม่ จะต้องแบ่งเป็นรายได้ให้แก่จังหวัดที่คลองผ่านในอัตราตามที่รัฐกำหนด (ประมาณร้อยละ ๕๐) ที่เหลือจึงเป็นของจังหวัดใกล้เคียงและจังหวัดอื่น ๆ โดยนำเข้าเป็นรายได้ของรัฐต่อไป
๑๗. แหล่งน้ำจืดสำหรับขายหรือบริการให้เรือที่ผ่าน จะต้องมีการเตรียมอ่างเก็บกักน้ำขนาดใหญ่จากบริเวณเขาหลวงใกล้อำเภอทุ่งสง และอำเภอพรหมคีรี อำเภอห้วยยอด โดยกรมชลประทานเป็นแหล่งสำรองน้ำจืดเพิ่มเติม
๑๘. พรุควนเคร็งส่วนเหนือคลองไทยบนกั้นเป็นเขื่อนเหนือคลองไทย ไว้เป็นน้ำต้นทุนแก่โครงการลุ่มน้ำปากพนัง ควรขุดให้ลึกเป็นอ่างเก็บน้ำจืด โดยลอกให้ลึก ๑๐ – ๒๐ เมตร จะได้มีปริมาณน้ำจืดพอบริการเรือ ปัจจุบันราคาน้ำจืดคิวบิกเมตรละ ๒๕ เหรียญสหรัฐ ซึ่งจะเป็นเงินนำเข้าประเทศได้มหาศาล เพราะเรือแต่ละลำต้องการน้ำจำนวนมาก
๑๙. คลองไทยตัดผ่านทางหลวงสายสำคัญ ๔ สาย ที่ต้องสร้างสะพานข้ามคลอง และมีทางรถไฟ ๒ สาย อาจทำสะพานหรืออุโมงค์ลอด เพื่อไม่ให้บริเวณพื้นที่ประชาชนอาศัยใต้คลองและเหนือคลองขาดการติดต่อกัน ส่วนการออกแบบแล้วแต่วิศวกรจะกำหนดตามความเหมาะสม
๒๐. สร้างทางด่วนขนานคลองเชื่อมสองฝั่งทะเล (Land Bridge) ทั้งด้านเหนือและด้านใต้ คลองบนและคลองล่างตามแนวบริเวณเขตคลองแนวเขตไว้ ควรเป็นถนนทางด่วน ๑๐ เลน รองรับประชากรที่อาศัยตลอดแนวคลองและใกล้เคียงให้เดินทางทางบกได้โดยสะดวกทุกทิศทาง
๒๑. การจ่ายค่าชดเชย เวนคืน ขนย้าย รื้อย้าย จะต้องให้ความเป็นธรรมกับประชาชนในอัตราที่จ่ายสูงกว่าราคาค่าเวนคืนตามที่รัฐกำหนด ราษฎรที่มีผลกระทบจากการขุดคลองที่ไม่มีสิทธิ์ได้ค่าเวนคืน แต่มีผลกระทบผู้รับสัมปทานจะต้องจัดที่อยู่ใหม่ที่เหมาะสมให้ด้วยความเป็นธรรม
๒๒. ต้องแบ่งพื้นที่ในคลอง โดยวางทุ่นแบ่งเขตให้เรือประมงและเรือสินค้าขนาดเล็กขนาดระวางต่ำกว่า ๑๐๐ ตัน ผ่านได้ตลอดเวลา และร่วมใช้คลองเช่นเดียวกับเรือเดินทะเล
๒๓. เรือกองทัพเรือไทยและเรือหน่วยราชการไทยมีสิทธิที่จะต้องได้รับการยกเว้นค่าผ่านคลอง และไม่ควรอนุญาตให้เรือดำน้ำผ่าน
๒๔. ปากคลองทั้งฝั่งทะเลอันดามัน จังหวัดกระบี่-ตรัง และที่อำเภอหัวไทร จังหวัดนครศรีธรรมราช และอำเภอระโนด จังหวัดสงขลา ควรก่อสร้างคลอง ๙A เหนือ และคลอง ๙A ใต้ ให้ห่างกันไม่น้อยกว่า ๑๐ กิโลเมตร เพื่อไม่ให้การจราจรปากคลองไทย ทั้งสองฝั่งทะเลแออัดและคับคั่ง
๒๕. โครงการสร้างคลองไทย (Thai Canals Project) จะต้องมีหน่วยงานภาคราชการขึ้นมากำกับ ควบคุม บรรษัทที่ดำเนินการคลองไทย และต้องเตรียมพร้อมรับการถ่ายโอนการบริหารจัดการคลองไทย เมื่อบรรษัทคลองหมดอายุสัมปทานหรือโอนเป็นของรัฐตามแต่กรณี |